ตรัสรู้
พระบรมโพธิสัตว์ ทรงกำจัดหมู่มารจนพ่ายแพ้หลบหนีไปจนหมดสิ้น
ก็บังเกิดความเบิกบานพระทัย แล้วทรงเจริญสมาธิภาวนา ตั้งพระทัยมั่น
ทำสมาบัติ ๘ ประการ ให้เกิดขึ้นแล้ว ทรงบรรลุญาณอันเป็นปัญญาตามลำดับ
ในปฐมยามทรงบรรลุ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกอดีตชาติย้อนหลัง
ที่พระองค์ทรงเคยบังเกิดมาแล้วได้ทั้งสิ้น
ครั้นเวลาล่วงเข้าสู่มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ จุตูปปาตญาณ
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพพจักขุญาณ สามารถหยั่งเห็นการเวียนว่ายตายเกิด
ของสรรพสัตว์ ทั้งสัตว์ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูง ทั้งในทุคติและสุคติตามสมควรแก่กุศล
และอกุศลที่ตนได้ทำไว้ เปรียบเสมือนคนที่อยู่บนที่สูงใกล้ทาง ๔ แพร่ง
สามารถมองเห็นหมู่ชนที่สัญจรไปมาจากที่ต่างๆ ได้
เวลารุ่งปัจฉิมยาม พระบรมโพธิสัตว์ก็ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ
ดับสูญสิ้นอาสวกิเลส ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญู ในวันวิสาขปุณณมี ขึ้น ๑๕ ค่ำ ดิถีเพ็ญกลางเดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
ขณะนั้น เหตุมหัศจรรย์ต่าง ๆ มีมหาปฐพีเป็นต้นก็เกิดกัมปนาทหวั่นไหว
สั่นสะเทือนทั่วพิภพ มหาสาครก็ตีฟองคะนองคลื่นดื่นดาดศัพท์สำเนียงเสียงโครมครึก
กึกก้อง สัตว์ต่างๆ ในไพรสณฑ์ ก็พากันส่งเสียงร้องร่าเริงแจ่มใส สัตว์ที่เคยเป็นศัตรู
คู่อริกันก็กลับกลายเป็นมิตรสนิทสนมมีเมตตาต่อกัน ฝูงนกนานาชนิดก็บินร่อนเริงร่า
ดาดาษกลาดเกลื่อนท้องฟ้าสุดที่จะพรรณนา บรรดาพฤกษาชาติในราวป่าพณาสณฑ์
ตลอดจนทิพยพฤกษาลดาในเทวอุทยาน ก็บันดาลผลิดอกออกผลเกลื่อนกล่น
ทั่วทุกกิ่งก้าน ล้วนแต่เป็นเหตุมหัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า ยังคงประทับ ณ รัตนบัลลังก์ นั้นเสวยวิมุตติสุข
ทรงเข้าสมาบัติอนุปุพพวิหาร ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ ๑
ครั้นล่วง ๗ วัน พระองค์เสด็จลงจากรัตนบัลลังก์ เสด็จดำเนินไปทาง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วประทับยืนทอดพระเนตร
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร เป็นการระลึกถึงคุณของต้นพระศรีมหาโพธิ์
อันเป็นสถานที่ตรัสรู้พระสัจธรรมอันประเสริฐบริสุทธิ์ สถานที่นี้มีชื่อเรียกว่า “อนิมิสเจดีย์”
ครั้นล่วง ๗ วัน พระองค์เสด็จจากอนิมิสเจดีย์มาประทับหยุดอยู่ระหว่าง
ต้นศรีมหาโพธิ์ กับอนิมิสเจดีย์ แล้วทรงเนรมิตสถานที่จงกรมขึ้น ณ ที่นั้น
เสด็จจงกรมอยู่เป็นเวลา ๗ วัน สถานที่นั้นได้นามว่า “รัตนจงกรมเจดีย์”
ครั้นล่วง ๗ วัน พระองค์เสด็จไปสู่รัตนฆรเจดีย์ ซึ่งเทวดาเนรมิตเรือนแก้ว
ขึ้นถวายในทิศพายัพแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับนั่งสมาธิในเรือนแก้ว
พิจารณาพระธรรมที่ตรัสรู้ เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาพระอภิธรรมถึงมหาปัฏฐาน
ซึ่งมีปัจจัย ๒๔ ขณะนั้นพระฉัพพรรณรังสี คือพระรัศมีที่เปล่งออกจากพระวรกาย
เป็นลำแสงประกอบด้วยสี ๖ สี พระรัศมีเหล่านี้แผ่ซ่านจากพระวรกายเป็นสายรุ้ง
แวดล้อมไปโดยรอบ ครอบงำแสงสุริยาจนเศร้าหมองดุจแสงหิ่งห้อย
ทรงพิจารณาธรรมอยู่ ณ เรือนแก้วนั้นตลอดระยะเวลา ๗ วัน
ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
บทภาพยนตร์
บรรยาย
ครั้นเวลาหัวค่ำพระมหาบุรุษทรงเจริญสมาธิภาวนา บรรลุญาณที่หนึ่ง
คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติหนหลังของพระองค์เองได้
บรรยาย
ครั้นเวลาดึกสงัดก็บรรลุญาณที่สอง คือ ทิพพจักขุญาณสามารถหยั่งเห็น
การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์
บรรยาย
ครั้นเวลาใกล้รุ่งพระมหาบุรุษ ก็สามารถทำให้กิเลสทั้งหลายดับสิ้นไป
จนได้บรรลุธรรมอันประเสริฐเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หมายเหตุ
-หลังจากตรัสรู้ มีรายละเอียดพูดถึงการเยาะเย้ยตัณหาสามารถดับกิเลส
พ้นจาการเวียนว่ายตายเกิด
พระพุทธเจ้า
กิเลสเอ๋ย เจ้าสร้างเรามาเป็นเวลาช้านานแล้วบัดนี้เราได้พบและทำลาย
เจ้าหมดสิ้นแล้ว
บรรยาย
เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้ธรรมสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ประทับ
เสวยวิมุตติสุข ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นระยะเวลา ๗ วัน
จากนั้นจึงเสด็จออกไปยืนกลางแจ้ง ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์
เพื่อระลึกคุณของพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร และอยู่ในอิริยาบถนั้น
เป็นเวลา ๗ วัน
บรรยายต่อ
ต่อมาจึงเสด็จไปจงกรมที่กึ่งกลางระหว่าง ต้นพระศรีมหาโพธิ์กับบริเวณ
ที่ยืนทอดพระเนตรเป็นเวลา ๗ วัน
บรรยาย
เมื่อเสด็จจงกรมครบ ๗ วันแล้ว ในสัปดาห์ที่ ๔ ได้เสด็จไปประทับนั่งขัดสมาธิ
ในเรือนแก้ว ซึ่งเทวดาเนรมิตขึ้นถวาย ซึ่งพระองค์ได้ทรงพิจารณาอภิธรรม
ในเรือนแก้วนั้นตลอดเวลา ๗ วัน
|