ฝนโบกขรพรรษ
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงพระนครกบิลพัสดุ์แล้ว ฝ่ายพระประยูรญาติ
มีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นประธานเสด็จมาต้อนรับ ต่างก็ยังมีทิฐิมานะแรงกล้าไม่ยอม
นอบน้อมนมัสการพระบรมศาสดา ด้วยเห็นว่าพระพุทธองค์มีวัยอ่อนกว่าตน
พระพุทธองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นเหตุดังนั้น จึงทรงแสดงปาฏิหาริย์เสด็จลอยขึ้นไป
จงกรมอยู่บนอากาศ ให้ธุลีละอองพระบาทหล่นลงมาบนพระเศียรเหล่าพระประยูรญาติ
ลำดับนั้นหมู่พระประยูรญาติต่างพากันคลายทิฐิมานะประคองอัญชลีนมัสการชื่นชม
โสมนัสด้วยบุญญาภินิหารของพระพุทธองค์ ขณะนั้น ฝนโบกขรพรรษ (มีน้ำฝนสีแดง)
ก็ตกลงมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกก็เปียก ถ้าไม่ปรารถนา
จะให้เปียกแล้วแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่เปียกกายเลย
ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
บทภาพยนตร์
พระสารีบุตร (เสียงก้องในความคิด)
บรรดาพระประยูรญาติของพระพุทธองค์ยังมีทิฐิ เห็นว่าพระพุทธองค์
มีวัยอ่อนกว่า หนำซ้ำยังจัดให้ราชกุมารมานั่งข้างหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องถวายบังคม
แสดงความเคารพนอบน้อม …
ดนตรีประกอบ
พระเจ้าสุทโธทนะ(เสียงก้องในความคิด)
เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ประสูติใหม่ๆ ได้รับคำทำนายและถวายนมัสการ
จากท่านอสิตดาบส หม่อมฉันได้ถวายนมัสการครั้งแรก … ต่อมาในงานพระราชพิธี
แรกนาขวัญ พระพุทธองค์ประทับใต้ต้นหว้า … เงาร่มไม้นั้นก็ไม่ได้เคลื่อนย้าย
ไปตามแนวดวงอาทิตย์ เวลาบ่ายหม่อมฉันจึงถวายนมัสการเป็นครั้งที่สอง …
ในครั้งนี้นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์ หม่อมฉันขอถวายนมัสการอีก
เป็นครั้งที่สาม
เสียงและดนตรีประกอบ
พระสารีบุตร
… นี่คือฝนโบกขรพรรษเป็นหยาดน้ำสีแดง ผิดจากน้ำฝนทั่วไป … ผู้ใดปรารถนา
ให้เปียกตัวก็จะเปียก หากไม่ปรารถนา แม้แต่เม็ดหนึ่งก็ไม่เปียก เหมือนหยาดน้ำ
ที่ตกลงสู่ใบบัว แล้วกลิ้งตกลงไปอย่างนั้น
พระพุทธเจ้า
พระบิดา ...เหล่าประยูรญาติทั้งหลาย... ฝนโบกขรพรรษนี้ มิใช่ว่า
จะตกท่ามกลางที่ประชุมแห่งพระประยูรญาติในครั้งนี้เท่านั้น … ในอดีตกาลครั้งที่เรา
เสวยชาติเป็นพระเวสสันดร ฝนโบกขรพรรษนี้ก็เคยตกลงท่ามกลางที่ประชุม
ของพระประยูรญาติเช่นกัน
ท่านทั้งหลาย....ผู้รักษาศีลย่อมไปสู่สุคติ....ผู้รักษาศีล ย่อมเพรียบพร้อม
ด้วยโภคสมบัติ.....ผู้รักษาศีล ย่อมไปถึงพระนิพพานได้.... ท่านทั้งหลาย
จึงควรรักษาศีลให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเถิด
|