พระราหุลราชกุมารบรรพชา

     ครั้นถึงวันที่ ๗ แห่งการเสด็จเยือนพระนครกบิลพัสดุ์ พระราหุลราชกุมาร เสด็จเข้าไป
เฝ้าพระพุทธเจ้า บังเกิดความรักในพระบิดา ตรัสชมว่า
“ร่มเงาของพระองค์เย็นสดชื่นยิ่งนัก” และเสด็จติดตามไปจนถึงพระวิหารกราบทูล
ขอทรัพย์สมบัติ


พระพุทธองค์ทรงดำริว่า “เราจะมอบอริยทรัพย์อันเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐสูงสุดให้”
ว่าแล้วก็รับสั่งให้ พระสารีบุตรเถระบรรพชาแก่พระราหุลราชกุมารเป็นสามเณรองค์แรก
ในพระพุทธศาสนา

 
 

       เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ ก็โทมนัสเสียพระทัยยิ่งนัก รีบเสด็จไปเฝ้าพระ
ผู้มีพระภาคเจ้ายังพระวิหาร แล้วทูลขอประทานพระพุทธานุญาตว่า
“ตั้งแต่นี้ต่อไปในภายหน้ากุลบุตรผู้ใดแม้ประสงค์จะบวชหากมารดาบิดา
ยังไม่ยินยอมพร้อมใจอนุญาตให้บวชแล้ว ขอให้ทรงงดไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้
บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรผู้นั้น”
พระบรมศาสดาก็ประทานพรแก่พระพุทธบิดา

 

ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

 

บทภาพยนตร์

 

พระราหุล
       พระมารดาบอกว่า พระบิดามีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล …
นับแต่พระบิดาออกบวช  ก็ไม่ยินดีในราชสมบัติ … ข้าพระองค์มาทูลขอ
ทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ในฐานะที่ข้าพระองค์เป็นรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ต่อไป



พระพุทธเจ้า (เสียงก้องในความคิด)
        ทรัพย์สมบัติภายนอก เป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร
…เราจะมอบอริยทรัพย์อันเป็นทรัพย์ภายในที่ประเสริฐสุดให้แทน

 


พระพุทธเจ้า
       ราหุล ..เจ้าจงรับอริยทรัพย์อันประเสริฐเอาไว้เถิด

 

พระพุทธเจ้า
       สารีบุตร … เธอช่วยปลดเปลื้องทุกข์ และมอบอริยทรัพย์ด้วยการบรรพชาราหุล
ให้เป็นสามเณรเถิด …

 


พระพุทธเจ้า
       … ราหุล นับแต่นี้ไปเธอก็คือสามเณรราหุล …

 

พระเจ้าสุทโธทนะ(เสียงก้องในความคิด)
       โธ่ … เมื่อตอนที่สิทธัตถะออกบวชตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เราก็หวังจะได้นันทะ
สืบราชสมบัติต่อ... แต่พระพุทธองค์กลับพานันทะออกบวช …เหลือแต่หลานราหุล
ของเราที่พอจะเป็นรัชทายาทสืบต่อไป

 

พระเจ้าสุทโธทนะ(เสียงก้องในความคิด)
       พระพุทธองค์ก็พาราหุลไปบวชอีก … ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้อีกไม่นาน …
บรรดาศากยวงศ์ก็จะไปบวชจนหมดแน่ …

 


พระเจ้าสุทโธทนะ(เสียงก้องในความคิด)
       อา … เราต้องรีบไปทูลขอพรพระพุทธองค์ที่นิโครธารามซะแล้ว …

 


พระเจ้าสุทโธทนะ
       ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดด้วยเถิด …นับแต่นี้ต่อไป ถ้ากุลบุตรผู้ใดที่ต้องการ
บวชในพระพุทธศาสนา... หากบิดามารดายังไม่ยินยอมพร้อมใจอนุญาตให้บวชแล้ว
ขออย่าให้บรรพชา แก่กุลบุตรผู้นั้นเลย

 


พระพุทธเจ้า
       พระบิดาเราอนุญาตให้ตามที่ขอ … พรุ่งนี้เราจะพาพระนันทะและสามเณรราหุล
กับเหล่าพระสงฆ์กลับวัดพระเวฬุวัน ที่กรุงราชคฤห์

 

พระพุทธเจ้า
       นันทะ …

 


พระพุทธเจ้า
        นับตั้งแต่ออกบวช เธอก็ไม่มีแก่ใจจะปฏิบัติธรรม ประพฤติพรหมจรรย์
คิดแต่จะกลับไปครองเรือนอยู่ตลอดเวลา …

 

พระนันทะ
       จิตใจของข้าพระองค์เฝ้าแต่คิดถึงนางชนบทกัลยาณี ชายาของข้าพระองค์
อยู่ตลอดเวลา … ไม่มีแม้แต่เสี้ยวเวลาที่ไม่คิดถึงนาง …

 


พระพุทธเจ้า
       นันทะ … มากับเราเถิด เราจะให้เธอได้พบเห็นในสิ่งที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน

 

พระพุทธเจ้า
       นันทะ …

 


พระพุทธเจ้า
       นั่นคือ นางเทพอัปสรบนสรวงสวรรค์ … เธอเห็นพวกนางแล้วเป็นอย่างไร

 

พระนันทะ
       นางเทพอัปสรเหล่านี้ล้วนแต่มีรูปร่างหน้าตางดงาม ยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบ …
แม้แต่นางชนบทกัลยาณี ผู้เป็นชายาของข้าพระองค์ ก็ไม่งดงามถึงครึ่งหนึ่ง
ของนางเทพอัปสรเหล่านี้เลย

 


พระพุทธเจ้า
       นันทะ...เธอเห็นแล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่เธอเคยคิดว่างามเลิศเลอ แท้ที่จริงแล้ว
ก็มีความงามเลิศเลอกว่าอยู่อีกมาก

 


พระนันทะ
       ข้าพระองค์เห็นแล้วพระพุทธเจ้าข้า

 

พระนันทะ (เสียงในความคิด)
        ต่อไปเราจะตั้งใจปฏิบัติธรรมและประพฤติพรหมจรรย์ โดยจะไม่ยอมปล่อยใจ
ให้หมกมุ่นอยู่กับนางชนบทกัลยาณีอีกเลย เพราะอย่างไรก็ดี นางเทพอัปสรเหล่านี้
ก็งดงามกว่านางชนบทกัลยาณีมากมายนัก

 

พระนันทะ
        ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี...ไม่มีสิ่งใด
ที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ...แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่ง
เครื่องพันธนาการที่มัดตรึงเหนียวแน่นให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิด
และจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป

 

พระพุทธเจ้า
       ถูกต้องแล้วนันทะ... ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบที่หาได้ในตัวเรานี้เอง
...ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่นเขาจะไม่พบความสุข
ที่แท้จริงเลย...เมื่อเธอปล่อยวาง...มองดูโลกเป็นของว่างเปล่าเสียแล้ว...จิตก็ว่าง
ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่ดังนี้