ชึ้อสุภะ


บทภาพยนตร์

 

เศรษฐี
-อุตตรา เจ้าส่งคนไปขอเงินพ่อของเจ้าจำนวนมากมายมาเพื่ออะไร … เจ้าเป็นภรรยาของเรา เงินแค่นั้นทำไมเราจะให้เจ้าไม่ได้ .. ไม่เห็นต้องไปรบกวนพ่อของเจ้าเลย


นางอุตตรา
-ท่านเศรษฐี … ตั้งแต่เราแต่งงานกับท่านไม่ค่อยมีโอกาสทำบุญสร้างกุศล จึงอยากได้เงิน
มาทำอาหารเพื่อถวายบิณฑบาตพระพุทธเจ้ากับเหล่าภิกษุสาวก … ส่วนท่านพ่อมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว … อยากทำบุญเหมือนกัน … เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่ได้คิดรังเกียจรังงอนเงินของท่านหรอก


เศรษฐี
-อุตตรา … ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ


อุตตรา
-เราตั้งใจจะเป็นผู้ตระเตรียมอาหารถวายเอง และจะอาราธนาพระพุทธองค์กับภิกษุสาวก
มารับบิณฑบาตเป็นเวลา ๑๕ วัน


เศรษฐี
-อุตตรา … ถ้าอย่างนั้น ก็ตามใจเจ้าเถอะ

 

อุตตรา
-ตลอดเวลาช่วงนี้คงไม่ได้ทำหน้าที่ ภรรยาปรนนิบัติรับใช้ท่าน …


เศรษฐี
-อุตตรา … ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ

 

อุตตรา
-ในกรุงราชคฤห์นี้ เราทราบข่าวว่า มีหญิงนครโสเภณีชั้นสูง ชื่อ สิริมา มีความงามเป็นที่
ต้องตาต้องใจชายทั้งเมือง แต่น้อยคนนักจะได้เชยชม เพราะค่าตัวของนางสูงมากนัก … ช่วง ๑๕ วันนี้ เราจะจ้างสิริมามาทำหน้าที่ภรรยาแทนชั่วคราว


เศรษฐี
-อุตตรา … เอ้อ … อ้า … ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ .. ตามใจเจ้าเถอะ

ท่านเศรษฐี
-อุตตรา … เหนื่อยมากมั๊ย


อุตตรา
-อ้าว … ท่านเศรษฐี … แม่นางสิริมา


เศรษฐี (เสียงก้องในความคิด)
-ดูภรรยาของเราซิ อยู่ดีไม่ว่าดีอยากทำเอง … หน้าตาเนื้อตัวมอมแมมไปหมด แทนที่จะอยู่ให้สุขสบายสมกับฐานะ กลับหาเรื่องเหน็ดเหนื่อยใส่ตัว

 

อุตตรา (เสียงก้องในความคิด)
-ดูสามีของเราซิ… ช่างประมาทมัวเมาในชีวิต คิดว่าตัวเองร่ำรวย ไม่ยอมทำบุญสร้างกุศลเพิ่มเติม ช่างเบาปัญญาจริงๆ

 

สิริมา (เสียงก้องในความคิด)
-ดูนังอุตตราซิ ทำมาเป็นมองยิ้มเยาะ … อย่างนี้มันด่ากันทางสายตานี่นา

 

สิริมา
-หมั่นไส้ หือ … ทนไม่ไหวแล้ว … แก … แก .. นังอุตตรา … มองหน้า อยากมีเรื่องใช่ มั๊ย … ได้มีเรื่องสมใจแกแน่ …

 

อุตตรา (เสียงก้องในความคิด)
-สิริมา … เจ้าเป็นผู้มีบุญคุณกับเรา เพราะยอมมาทำหน้าที่ภรรยาชั่วคราวแทน ทำให้เรามีโอกาสสร้างบุญกุศลสมความตั้งใจ … แม้ว่าเจ้าจะทำกับเราอย่างไร เราก็ไม่โกรธเคือง ผูกพยาบาทเจ้า

 

สิริมา
-โอ … ทำไมน้ำเดือดๆ ถึงทำอันตรายแม่นางไม่ได้ …

 

เสียงข้าทาส
-เฮ้ย …นังโสเภณีบังอาจทำร้ายเจ้านายเรา … ไปพวกเรา .. ตบมันให้หายแค้น … เอาเลย

 

อุตตรา
-พวกเจ้าหยุดเถอะอย่าได้ทำร้ายนาง … สิริมาเป็นเหมือนเพื่อนที่มีบุญคุณต่อเรา …
เราไม่ถือโทษโกรธนางหรอก

 

สิริมา
-แม่นางอุตตรา...เราเป็นหญิงนครโสเภณีที่แม่นางจ้างมา...กลับลืมตัวสำคัญผิด
ว่าเป็นภรรยาท่านเศรษฐี จึงได้ล่วงเกินทำร้ายแม่นาง แต่จิตใจของแม่นางช่างดีงาม มีเมตตาไม่คิดอาฆาตโกรธเคืองเราแม้แต่น้อย … เราผิดไปแล้วเราขอโทษแม่นาง

 

อุตตรา
-ลุกขึ้นเถิด … สิริมา ถ้านางจะขออภัยก็ควรขออภัยต่อพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา
สูงสุดของเรา …พรุ่งนี้ก็ครบ ๑๕ วันที่เราตั้งใจทำบุญถวายภัตตาหาร พระพุทธองค์กับ
เหล่าภิกษุสงฆ์นางมาร่วมบำเพ็ญกุศลและฟังธรรมจากพระพุทธองค์ พร้อมๆ กับเราเถิด

พระพุทธเจ้า
-บุคคลพึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ … พึงชนะความชั่ว ด้วยความดี … พึงชนะความตระหนี่ด้วยการให้ … พึงชนะคำพูดพล่อยๆ ด้วยความสัตย์ …มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกียารมณ์...ผู้เพลิดเพลินอยู่ในความบันเทิงสุข...
ผู้มึนเมาในทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล ความฟุ่มเฟือย คำสรรเสริญ ยศศักดิ์ เกียรติและอำนาจ...ย่อมมองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรม

 

สัปปะเหร่อ ๑
-เฮ้อ … ยังสาวยังสวยไม่น่าตายเร็วเล้ย

 

สัปปะเหร่อ ๒
-วันที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า นางก็เลิกเป็นหญิงนครโสเภณี หันมาทำบุญเป็นประจำ … แต่ชีวิตมันเอาแน่ไม่ได้ … อยู่ได้ไม่นานก็มาตายเสียแล้ว

 

สัปปะเหร่อ ๑
-งั้นเราก็ทำหน้าที่สัปปะเหร่อ จัดการเผาซะเลยสิ

 

สัปปะเหร่อ ๒
-เฮ้ย … ยังเผาไม่ได้

“ ๓ วันต่อมา ”

 

สัปปะเหร่อ ๑
-อ้าว … ทำไมล่ะ


สัปปะเหร่อ ๒
-พระเจ้าพิมพิสารทรงมีรับสั่งให้เก็บศพนางสิริมาไว้ ๓ วัน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสขอไว้นะสิ


สัปปะเหร่อ ๑
-เอ … จะเก็บไว้ทำไมน้า


พระเจ้าพิมพิสาร
-เมื่อครั้งที่สิริมา มีชีวิตเป็นหญิงงดงาม ชายทุกคนในกรุงราชคฤห์ต่างหลงใหล อยากจะร่วมอภิรมย์ บัดนี้นางไม่มีชีวิตแล้ว เรามีความประสงค์จะขายศพนางทอดตลาด ตั้งต้นราคาเท่าตอนที่นางมีชีวิตอยู่ คือ ๑ พันกหาปนะ …
ใครจะซื้อบ้าง

 

ชาวเมือง ๑ (เสียงอุดจมูกพูด)
-สิริมาตายมาตั้ง ๓ วัน ศพเริ่มเน่าเปื่อย น้ำเหลืองไหล เหม็นตลบไปหมดทั้งสุสาน … ใครซื้อไปก็บ้าเต็มทีแล้ว

 

ชาวเมือง ๒
-นั่นนะสิ … แน่ะ … พระเจ้าพิมพิสารทรงลดราคาลงมาเหลือ ๙๐๐ กหาปนะแล้ว… ๘๐๐ แล้ว … ศพเน่าๆ อย่างนั้นตั้ง ๘๐๐ น่ะนะ

 

ชาวเมือง ๑
-๗๐๐ แล้ว … อ๊ะ … ลดมาเหลือครึ่งหนึ่งแล้วไม่เห็นมีใครขยับเลย …
พระเจ้าพิมพิสาร
-๑๐๐ กหาปนะ … ถ้าไม่มีใครซื้อ เราขอยกให้เปล่าๆ เลย

พระพุทธเจ้า
-ท่านทั้งหลาย ....สังขารทั้งหลายมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา จงพิจารณา
ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขารทั้งหลาย ตามความเป็นจริงเถิด …น้ำตาของสัตว์
ที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารนี้มีมากเหลือคณา...กระดูกที่เขาทอดทิ้งทับถมปฐพี
จนไม่มีช่องว่างบนพื้นแผ่นดินนี้..เป็นที่น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก...บุคคลเมื่อยังติดอยู่
ใน รูป รส กลิ่น เสียงและโผฏฐัพพะเขาเหล่านั้นย่อมจะพ้นจากโลกมิได้เลย