เจ้าชาย ๖ พระองค์ออกบวช

        หลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา
ได้ไม่นาน เจ้าชายเทวทัต พระเชษฐาของพระนางพิมพาแห่งราชสกุลโกลิยวงศ์
ได้เสด็จออกผนวชพร้อมเจ้าชายแห่งราชสกุลศากยวงศ์ อีก ๕ พระองค์คือ ภัททิยะ
อนุรุทธะ  อานนท์  ภัคคุ  กิมพิละ และ ช่างตัดผมชื่อ อุบาลี ภายหลัง คือ
พระอุบาลีเถระ เนื่องจากเจ้าศากยะและโกลิยะมีความถือตัวเพื่อให้คลายทิฐิมานะ
จึงให้อุบาลีบวชก่อนเพราะภิกษุผู้มีอาวุโสน้อยต้องเคารพกราบไหว้
ภิกษุผู้มีอาวุโส
มากกว่า


        หลังจากการบวชแล้ว พระภัททิยะ ได้สำเร็จวิชชา ๓ พระอนุรุทธะได้ทิพยจักษุ
พระอานนท์ ได้เป็นพระโสดาบัน ส่วนพระเทวทัตได้ฤทธิ์ปุถุชน คือ สามารถแสดงฤทธิ์
และเป็นผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงคิดทำลายพระบรมศาสดา เพื่อตนจะได้เป็นใหญ่
ในสังฆมณฑล


        วันหนึ่งจึงเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาแล้วกราบทูลว่า พระองค์มีพระชนมายุมากแล้ว
ขอให้ตนได้ปกครองคณะสงฆ์แทน เมื่อพระพุทธองค์ทรงปฏิเสธและพระเทวทัต
ไม่ยอมสำนึกตัวจึงถูกทำปกาสนียกรรม คือ ประกาศไม่ให้ภิกษุรูปใดคบพระเทวทัต


        ครานั้น พระอชาตศัตรูราชกุมาร พระราชโอรสของ พระเจ้าพิมพิสาร
กับพระนางเวเทหิ  ยังเยาว์วัย พระทัยเบาหลงเชื่อถ้อยคำของพระเทวทัตจึงทรง
ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระชนกนาถ แล้วอภิเษกพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์



        ฝ่ายพระเทวทัตได้พยายามทำร้ายพระบรมศาสดา โดยครั้งแรกได้ใช้พวกนาย
ขมังธนููไปยิงพระพุทธเจ้า แต่นายขมังธนูกลับมีจิตศรัทธาได้สดับพระธรรมเทศนาและ
ได้บรรลุพระโสดาปัตติผลทั้งหมด


        ครั้งที่ ๒ พระเทวทัตลอบขึ้นไปบนภูเขาคิชฌกูฏ กลิ้งก้อนศิลาใหญ่ลงมา
ในเวลาที่พระบรมศาสดาเสด็จขึ้นภูเขา แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายพระพุทธองค์ได้
เป็นเพียงสะเก็ดศิลากระเด็นไปกระทบพระบาทจนห้อพระโลหิต หมอชีวกโกมารภัจจ์
ได้ทำการรักษาอาการของพระพุทธองค์จนหายเป็นปกติ


        ครั้งที่ ๓ พระเทวทัตให้ปล่อยช้างนาฬาคีรี ช้างพระที่นั่งที่กำลังตกมันดุร้าย
ในเวลาพระพุทธองค์เสด็จออกมาบิณฑบาตในเวลาเช้า ครั้งนั้น พระอานนท์ไปยืนขวาง
หน้าช้างนาฬาคีรีไว้เพื่อป้องกันพระบรมศาสดา ทันใดนั้น พระบรมศาสดาได้ทรงทรมาน
ช้างนาฬาคีรีให้หมดพยศร้ายกาจ หมอบกายเข้าไปถวายบังคมพระบรมศาสดา
ฟังพระบรมศาสดาตรัสสอน แล้วเดินกลับเข้าสู่โรงช้างด้วยอาการอันสงบ


         ภายหลัง พระเทวทัตปรารถนาจะเลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวงสืบไป
เพื่อจะแสดงว่าตนเป็นผู้เคร่งครัด จึงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลขอวัตถุ ๕ ประการ
เพื่อให้พระบรมศาสดาบัญญัติให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ
                           ๑.ให้ถือการอยู่ในเสนาสนะป่าตลอดชีวิต
                           ๒.ให้ถือการเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต
                           ๓.ให้ใช้ผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต
                           ๔.ให้ถือการอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต
                           ๕.ให้งดฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต


        พระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต และตรัสว่า “ไม่ควร ควรให้ปฏิบัติได้ตามแต่
ศรัทธา”
        พระเทวทัตโกรธแค้น เพราะไม่สมประสงค์ กล่าวโทษพระบรมศาสดาประกาศว่า
คำสอนของตนประเสริฐกว่า ทำให้ภิกษุส่วนมากเป็นชาววัชชีที่บวชใหม่มีปัญญาน้อย
หลงเชื่อ ยอมตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตน
บ้างแล้วก็ประชุมภิกษุ ในโรงอุโบสถ ประกาศทำสังฆเภท แยกออกจากหมู่สงฆ์ทั้งปวง
แล้วพาภิกษุเหล่านั้นไปยังตำบลคยาสีสะประเทศ ครั้นพระบรมศาสดาได้ทราบเหตุนั้น
แล้ว ทรงดำรัสให้พระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานเถระไปนำภิกษุพวกนั้นกลับมา
พระอัครสาวกทั้งสองรับพระบัญชาแล้วไปที่คยาสีสะประเทศ แนะนำพร่ำสอนจนภิกษุ
เหล่านั้นได้บรรลุอมตธรรม แล้วพาภิกษุเหล่านั้นกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา


        พระโกกาลิกะซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระเทวทัตใช้เข่ากระแทกพระเทวทัต
อย่างแรงด้วยกำลังโทสะ เป็นเหตุให้พระเทวทัตเจ็บปวดอย่างสาหัสถึงอาเจียน
เป็นโลหิต ได้รับความทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ไม่ทุเลาอยู่ถึง ๙ เดือน


        พระเทวทัตสำนึกผิดกลับหวนระลึกถึงพระบรมศาสดา ใคร่จะเห็นพระองค์เป็นครั้ง
สุดท้าย จึงขอร้องให้ภิกษุผู้เป็นศิษย์ช่วยนำตัวไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยยก
พระเทวทัตขึ้นนอนบนเตียง แล้วช่วยกันหามมา ตั้งแต่เมืองราชคฤห์ จนถึงเมืองสาวัตถี


        ขณะที่หามพระเทวทัตมาถึงสระโบกขรณี ซึ่งอยู่นอกพระเชตวันวิหาร
จึงวางเตียงลงในที่ใกล้สระ พระเทวทัตลุกนั่ง ห้อยเท้าทั้งสองถึงพื้นดินประสงค์จะ
เหยียบยันกายขึ้นยืนบนพื้นปฐพี ในขณะนั้นพื้นปฐพีก็แยกออกเป็นช่องสูบเอา
พระเทวทัตลงไปในแผ่นดินจนถึงคอ พระเทวทัตได้กล่าว คาถาสรรเสริญบูชา
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ขอประทานอภัยและถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชา

พอสิ้นเสียงร่างพระเทวทัตก็จมหายลงไปในพื้นปฐพีไปบังเกิดในอเวจีมหานรก
ด้วยบาปกรรมที่ไม่เคารพพระรัตนตรัย ประทุษร้ายพระบรมศาสดา ทำสังฆเภทยังสงฆ์
ให้แตกกันเป็นอนันตริยกรรม



ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

 

 

บทภาพยนตร์

 

บรรยาย
        กาลต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปประทับอยู่ที่ อนุปิยอัมพวัน ป่ามะม่วง
ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ เคยประทับพักแรมเมื่อแรกออกบรรพชา … บรรดาเจ้าชาย
ศากยะ ๕ พระองค์ คือ

- เจ้าชายภัททิยะ
- เจ้าชายอนุรุทธะ
- เจ้าชายอานนท์
- เจ้าชายภะคุ
- เจ้าชายกิมพิละ
-และฝ่ายโกลิยะวงศ์ คือ เจ้าชายเทวทัต พร้อมด้วยช่างตัดผม อุบาลี อีกหนึ่งคน
ได้พากันเดินทางมาเข้าเฝ้า เพื่อทูลขอบวช พระพุทธองค์ จึงประทานการบรรพชาให้
อุบาลีช่างตัดผมก่อนและเจ้าชายทั้ง ๖ พระองค์ตามลำดับ …

 

บรรยาย
        หลังจากออกบวชเป็นพระภิกษุแล้วไม่นาน พระอุบาลี , พระภัททิยะ , พระอนุรุทธะ ,
พระภะคุ , พระกิมพิละ ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

 


บรรยาย
         พระอานนท์หลังจากบวชแล้วได้รับฟังโอวาทจากพระปุณณมันตานีบุตรได้บรรลุ
โสดาปัตติผล


บรรยาย
        ส่วนพระเทวทัตเท่านั้น ได้เพียงฤทธิ์ปุถุชน คือสามารถแสดงฤทธิ์อันเป็นโลกิยะเท่านั้น



บรรยาย
        ต่อมาเหล่าพระสงฆ์ได้ขอให้พระอานนท์รับหน้าที่เป็น พุทธอุปัฏฐาก

 

พระสงฆ์
        ท่านอานนท์ พวกเราได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่าท่านนั้นเหมาะสมที่จะเป็น
พุทธอุปัฏฐาก ไม่ทราบว่าท่านจะเห็นเป็นประการใด


พระอานนท์
        ข้าแต่องค์พระบรมศาสดา ข้าพระองค์พร้อมที่จะถวายการอุปัฏฐาก แต่ข้าพระองค์
ใคร่ขอพร ๘ ประการ พระพุทธเจ้าข้า


พระพุทธเจ้า
        ดีแล้วอานนท์ เธอจงขอเถิด


พระอานนท์
        พร ๘ ประการที่ข้าพระองค์กราบทูลขอคือ
๑. พระพุทธองค์อย่าประทานจีวรอย่างดีแก่ข้าพระองค์
๒. อย่าประทานอาหารบิณฑบาตอย่างดีแก่ข้าพระองค์
๓. อย่าให้ข้าพระองค์อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระพุทธองค์
๔. อย่าพาข้าพระองค์ไปในที่นิมนต์
๕. ต้องเสด็จไปในที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้
๖. ต้องประทานอนุญาตให้ข้าพระองค์นำคนที่มาแต่ไกลเข้าเฝ้าได้ทันที
๗. ต้องประทานอนุญาตให้ข้าพระองค์ทูลถามข้อสงสัยได้ตลอดเวลา
๘. ถ้าพระพุทธองค์ไปแสดงธรรมที่ไหน ก็ขอทรงโปรดแสดงให้ข้าพระองค์ฟังด้วย
พระพุทธเจ้าข้า


พระพุทธเจ้า
        ถูกต้องแล้วอานนท์ เราให้พรนั้นแก่เธอ

 

พระเทวทัต
        เราเป็นกษัตริย์ออกบวช … ทำไมนะ ผู้คนถึงได้ไปกราบไหว้เคารพเลื่อมใส
พระสาวกองค์อื่นๆ กันหมด


พระเทวทัต
        อ้อ … ยังมี เจ้าชายอชาตศัตรู โอรสของพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์
ยังทรงพระเยาว์ไม่รู้คุณรู้โทษ … เราต้องไปแสดงฤทธิ์ให้เห็น เจ้าชายจะได้เลื่อมใส
… ทีนี้ล่ะ …เราอยากได้อะไร พระองค์ก็จะหามามอบให้เราทั้งนั้น …ฮ่า … ฮ่า …

 

เจ้าชายอชาตศัตรู
        ท่าน … ท่าน … ท่านเป็นใคร … ท่านต้องการอะไร … อย่ามาทำร้ายเราเลย …

เจ้าชายอชาตศัตรู
        ทหาร …


พระเทวทัต
        หยุดก่อนเจ้าชายอชาตศัตรู … อย่าได้ตกพระทัยไปเลย


เจ้าชายอชาตศัตรู
        ท่าน … ท่าน … ท่านรู้จักเราได้อย่างไง


พระเทวทัต
        เจ้าชาย … จงดูเรา

 

เจ้าชายอชาตศัตรู
        นี่ท่าน …


พระเทวทัต
        เราคือพระเทวทัต … เราไม่ได้ประสงค์ร้าย แต่เรามาเพื่อช่วยเหลือพระองค์


เจ้าชายฯ
        ช่วยเหลือเหรอ … ช่วยเหลือเราเรื่องอะไร



พระเทวทัต
        เอาเถอะ … เมื่อถึงเวลา …พระองค์ก็จะรู้เองตอนนี้เราขอลาพระองค์ไปก่อนหละ …


เจ้าชายฯ
        เดี๋ยวก่อน …เดี๋ยวก่อน …

 

พระเทวทัต
         เราแสดงฤทธิ์จนเจ้าชายอชาตศัตรูเคารพเลื่อมใส มอบสิ่งของให้เราทุกอย่าง
ตามแต่จะปรารถนา … ผู้จะได้ปกครองพระสงฆ์ทั้งหลาย สมควรจะเป็นตัวเรา
พระเทวทัตนี่เอง

 

พระเทวทัต
        พระพุทธองค์ … เวลานี้พระองค์ทรงมีพระชนม์มาก ควรจะได้พักผ่อนแล้ว …
ข้าพระองค์จะขอรับภาระปกครองพระสงฆ์เอง  ขอพระองค์ทรงมอบพระสาวกมา 
แล้วประกาศให้ทราบทั่วกัน ข้าพระองค์จะช่วยสั่งสอนแทนสืบต่อไป

 

พระพุทธเจ้า
        อย่าเลยเทวทัต

 

พระเทวทัต
        ท่าน … ท่าน …

 

พระเทวทัต
        ท่านทำให้เราได้รับความอับอายต่อหน้าผู้คน … หนำซ้ำยังกระทำ ปกาสนียกรรม
ไม่ให้พระภิกษุทุกองค์ พูดคุย  คบหากับเรา … นับแต่นี้ไปเราจะทำให้ท่านพินาศจงได้ ฮ่า ๆ

 

พระเทวทัต
        ไม่ได้ … ท่านทำอย่างนี้ไม่ได้ …


พระเทวทัต
        มหาบพิตรลองไตร่ตรองให้ดีๆ..ถึงพระองค์จะ ได้ครองราชย์สมพระประสงค์แล้ว
แต่พระองค์ต้องปลงพระชนม์พระบิดาอยู่ดี … หากวันใดพระบิดาของพระองค์
เกิดอาลัยในราชสมบัติ เปลี่ยนพระทัยมาชิงคืน.. เมื่อนั้นมีเหรอพระบิดาจะปล่อย
พระองค์ไป.. ทางที่ดีพระองค์ต้องลงมือก่อน

 

เจ้าชายฯ
        ก็ได้ … เราจะจับพระบิดาคุมขังไว้ ปล่อยให้สิ้นพระชนม์ไปเอง



พระเทวทัต
        แล้วแต่พระองค์จะตัดสินพระทัยเถิด

 

พระเทวทัต
        เมื่อเอาชีวิตไม่ได้ถึง ๓ ครั้ง ก็ต้องใช้วิธีสุดท้ายหละ


พระเทวทัต
        เราต้องแกล้งทำเป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย …เพื่อให้พระภิกษุทั้งหมด
หันมาเป็นสาวกของเรา


พระเทวทัต
        เพื่อให้ภิกษุในพุทธศาสนามีคนเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น
ข้าพระองค์ขอให้บัญญัติให้เหล่าภิกษุถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ๕ ข้อ …

 

พระเทวทัต
        ข้อที่ ๑ ให้ภิกษุอยู่ในป่าห้ามจำพรรษาในเมืองหรือในหมู่บ้าน
        ข้อที่ ๒ ให้บิณฑบาตอย่างเดียวห้ามรับกิจนิมนต์
        ข้อที่ ๓ ให้นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ห้ามรับผ้าที่คนมาถวาย
        ข้อที่ ๔ ให้อาศัยอยู่ตามโคนต้นไม้ ห้ามอยู่ในสิ่งปลูกสร้าง
        ข้อที่ ๕ ห้ามฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิด 
..ถ้าใครไม่ทำตามนี้จะต้องถูกลงโทษพระพุทธองค์จะเห็นควรอย่างไร

 

พระพุทธเจ้า
        เทวทัต … เราไม่อนุญาต ไม่ใช่พระธรรมวินัยนี้หย่อนยาน แต่สิ่งที่เธอขอจะเป็นการ
ไม่สะดวกต่อการดำรงชีพของภิกษุทั้งหลาย ขอให้ปฏิบัติไปตามกำลังศรัทธาเถิด
ส่วนข้อที่ห้ามฉันเนื้อสัตว์นั้น เราอนุญาตให้ฉันเนื้อที่บริสุทธิ์ใน ๓ กรณี คือ ไม่ได้เห็น
ไม่ได้ยิน และไม่สงสัยว่าฆ่ามาเพื่อตน


พระเทวทัต
        ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านคิดว่า ใครจะประเสริฐกว่ากัน … ข้อปฏิบัติของเราเคร่งครัดกว่า
ผู้ใดเห็นด้วยกับเราก็จงไปอยู่กับเราเถิด


พระพุทธเจ้า
        เทวทัต … อย่าทำอย่างนั้นเลย การทำสังฆเภท แบ่งแยกเหล่าภิกษุสงฆ์
เป็นบาปกรรมหนักมากนัก


พระเทวทัต
        ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าพเจ้าหาใช่สาวกของท่านไม่ … ข้าพเจ้าจะทำสังฆกรรม
แต่เฉพาะพวกข้าพเจ้าเท่านั้น …


พระเทวทัต
        ใครเห็นด้วย ขอให้ตามเรามา

 

พระโกกาลิกะ
        พระเทวทัต … ท่านรู้รึเปล่าว่า ท่านไม่เหมาะสมที่จะเป็นศาสดาของเหล่าภิกษุสาวก


พระเทวทัต
        โกกาลิกะ … เจ้าเอาอะไรมาพูด


พระโกกาลิกะ
        ฮ่า … ฮ่า … เอาอะไรมาพูด … เอาอะไรมาพูดเหรอ…ตอนนี้พระสารีบุตร
กับพระโมคคัลลานะ อัครสาวกของพระพุทธเจ้ามาเทศนาสั่งสอน จนเหล่าภิกษุของท่าน
กลับใจพากันติดตามอัครสาวกกลับไปพระเชตวันมหาวิหารเกือบหมดแล้ว เหลือแต่พวก
โง่เง่างมงายอยู่ไม่กี่รูปเท่านั้น


พระเทวทัต
        โกกาลิกะ เป็นไปไม่ได้ …เป็นไปไม่ได้ …



พระโกกาลิกะ
        เป็นไปไม่ได้ … เป็นไปไม่ได้ … ท่านพูดเป็นเท่านี้เหรอ … นี่เหรอธรรม
ของผู้เคร่งครัด …


พระเทวทัต
         โกกาลิกะ … เจ้า … เจ้า …


พระโกกาลิกะ
        หึ..ท่านนะมันจอมปลอม อาศัยเอาแต่ผ้าเหลืองมาห่ม…อยากจะมีลาภสักการะ…
อวดบารมีแข่งกับองค์พระบรมศาสดา   เราไม่ขออยู่ด้วยอีกต่อไป


พระเทวทัต
         โกกาลิกะ…กลับมาเดี๋ยวนี้…โกกาลิกะ

 

ดนตรีประกอบ

 

พระเทวทัต
        เราป่วยหนักอาการไม่ยอมทุเลามานานแล้ว…นี่คงเป็นโทษที่เราทำหยาบช้า
ล่วงเกินพระพุทธองค์ไว้มากมาย…แต่พระพุทธองค์กลับมีเมตตาไม่เคยอาฆาต
พยาบาทเราแม้แต่น้อย … เราอยากเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในวาระสุดท้ายของชีวิต
เพื่อขอประทานอภัย…พวกเจ้าจงรีบพาเราไปพระเชตวันมหาวิหาร

 

พระเทวทัต
        ใกล้ถึงพระเชตวันมหาวิหารแล้ว … เราขอพักชำระร่างกายก่อนเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ซักนิดเถอะ

 

ดนตรีประกอบ

 

พระเทวทัต
        ช่วยเราด้วย … พวกเจ้าช่วยเราด้วย …

 

พระเทวทัต
        โอ…พระผู้มีพระภาคเจ้า...ผู้ตรัสรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและจรณะ…
เป็นมหาบุรุษเป็นศาสดาผู้สั่งสอนเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย…ข้าพระองค์
ขอถวายกระดูกคางเป็นพุทธบูชาและขอถึงพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งตลอดกาลเถิด


พระเจ้าอชาตศัตรู
        พระเทวทัตมีบาปหนาสาหัส…แม้ใกล้จะถึงเชตวันมหาวิหารแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาส
เห็นพระพุทธเจ้า…กลับถูกธรณีสูบจมลงอเวจีมหานรกเสียก่อน…เฮ้อ…ตัวเราก็ร่วมมือกับ
พระเทวทัต ทำชั่วทำบาปไว้มากมายเหมือนกัน... แม้เวลานอนก็ยังหลับตาลงไม่ได้
เฝ้าแต่นึกถึงผลกรรมรุ่มร้อนใจอยู่ตลอดเวลา...ท่านหมอชีวก ท่านเห็นว่าเราควรจะ
ทำอย่างไร


หมอชีวก
        ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า พระองค์น่าจะเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดา
เพื่อกราบทูลขอประทานอภัยจึงจะเป็นการสมควรอย่างยิ่ง พระเจ้าข้า


พระเจ้าอชาตศัตรู
        จริงอย่างที่ท่านว่า อย่างงั้นท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาด้วยกันกับเรานะ


พระเจ้าอชาตศัตรู
        หม่อมฉันหลงเชื่อคำพระเทวทัต ได้กระทำกรรมที่ผิดร้ายแรงต่อพระพุทธองค์
หม่อมฉันสำนึกผิดและกราบทูลขอประทานอภัย และละเว้นโทษแก่หม่อมฉัน
เพื่อหม่อมฉันจะไม่กระทำอกุศลกรรมเหล่านั้นอีกพระพุทธเจ้าข้า


พระพุทธเจ้า
        มหาบพิตร เราอโหสิกรรมให้..


พระพุทธเจ้า
        ดูก่อนมหาบพิตร..ไม่ว่ากาลไหนๆ เวรในโลกนี้ย่อมระงับด้วยการไม่มีเวร...
ผู้สมาคมกับคนพาล ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
ย่อมรุ่งเรืองเหมือนไฟสว่าง ผู้มีสติย่อมได้รับความสุข มีความเจริญทุกเมื่อ
ถ้าพระราชาเป็นผู้ทรงธรรม ราษฎรทั้งปวงก็เป็นสุข

        ท่านทั้งหลาย....สังขารทั้งหลายมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา
จงพิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขารทั้งหลาย ตามความเป็นจริงเถิด...
น้ำตาของสัตว์ที่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารนี้มีมากเหลือคณา...กระดูกที่เขาทอด
ทิ้งทับถมปฐพีจนไม่มีช่องว่างบนพื้นแผ่นดินนี้..เป็นที่น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก...
บุคคลเมื่อยังติดอยู่ใน รูป รส กลิ่น เสียง และ โผฎฐัพพะ เขาเหล่านั้น
ย่อมจะพ้นจากโลกมิได้เลย


พระเจ้าอชาตศัตรู
        หม่อมฉันขอประกาศตัวเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไปจนตลอดชีวิต

 

พระพุทธเจ้า (เสียงก้องในความคิด)
        พระราชาองค์นี้ต้องรับผลกรรมหนัก … เพราะได้ปลงพระชนม์พระบิดา ธรรมจักษุอัน
ปราศจากมลทิน จึงไม่บังเกิดขึ้น ณ ที่ประทับนี้